ร้อยไหม Stem Cell ให้ผิวฟู ผิวเด้งตึงกระชับ
มีนาคม 17, 2023
ใครบ้างที่ต้องทำ ปากกระจับ ?
มีนาคม 22, 2023การฉีดหน้าใสที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ในตอนนี้ คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Made Collagen ตัวยาประกอบด้วยวิตามินเข้มข้น ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ หลาย ๆ คนอาจจะยังสงสัยว่า การฉีดมาเด้ แตกต่างจากการฉีดเมโส หรือเมโสหน้าใส อย่างไรบ้าง แล้วหัตถการแบบไหนที่เหมาะกับผิวหน้าของคุณ และแต่ละวิธีจะให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่าการทานอาหารเสริมพวกวิตามินหรือไม่ ? ต้องห้ามพลาดบทความนี้
มาเด้ คอลลาเจน 16 จุดทั่วใบหน้า
ปัญหาผิวที่ต้องรักษาด้วย มาเด้ คอลลาเจน

มาเด้ คอลลาเจน (Made Collagen)
มาเด้ คอลลาเจน คือศาสตร์การดูแลผิวแบบที่เรียกว่า โฮมีโอพาธีย์ (HOMEOPATHY) เป็นการรักษาแบบการแพทย์ทางเลือก รักษาตามแนวธรรมชาติ เน้นแนวคิดความเชื่อที่ว่า ร่างกายของเราสามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ เป็นกระบวนการตามลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล (Individualization) และการเยียวยารักษานี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ถ้าได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม
ซึ่งการออกฤทธิ์ของตัวยาจากมาเด้ คอลลาเจน ที่ประกอบไปด้วย อาหารผิวหลากหลายชนิด จะสามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้า ทั้งผดผื่น สิว ฝ้า กระ ริ้วรอย จุดด่างดำบนใบหน้า โดยจะมีกระบวนการทำงานของตัวยาที่เป็นจุดเด่นของมาเด้ คอลลาเจน คือ การกำจัดสารพิษออกจากผิวโดยเฉพาะ มีการเร่งกระบวนการเผาผลาญ เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เซลล์ผิวจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ช่วยชะลอการเสื่อมของคอลลาเจนในชั้นผิว และยังมีการปรับสมดุลของผิวทำให้ผิวเข็งแรง ไม่ถูกทำร้ายได้ง่าย
เมโสหน้าใส (Mesotheraphy)
การฉีดเมโสหน้าใส เป็นทรีทเม้นต์บำรุงผิว โดยการฉีดวิตามิน หรือสารสกัดเข้มข้น ที่มีอยู่ในสกินแคร์ เข้าสู่ผิวโดยตรง ซึ่งการทำเมโสหน้าใสจะมีทั้งการใช้เข็มฉีดยาสะกิดบนผิว ไปทั่วบริเวณใบหน้า หรือการฉีดลงไปบนผิวหน้าโดยตรง วิธีนี้จะทำให้ตัวยาลงลึกไปถึงชั้นผิว บำรุงได้อย่างตรงจุด และเห็นผลได้ไวมากกว่าการทาครีม โดยจุดเด่นของการทำเมโสหน้าใส คือ การทำให้ผิวหน้าขาวใส ลดรอยดำบนใบหน้า ทั้งรอยสิว ฝ้า และกระ
สารสกัดที่สำคัญของตัวยาเมโสหน้าใส จะประกอบด้วย วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, วิตามินอี, แทรนซามิน (ตัวยาที่ใช้ในการฉีดสลายฝ้า) และกลูต้าไธโอน นอกจากนี้ยังมีเมโสหน้าใส ที่ช่วยกระชับรูขุมขน และทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนผสมหลัก คือ คอลลาเจน และโคเอนไซม์
การทานวิตามินบำรุงผิว
การรับประทานวิตามินบำรุงผิว จะให้ผลลัพธ์ได้เช่นเดียวกับการฉีดวิตามิน แต่จะต้องอาศัยระยะเวลาค่อนข้างนานถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่การฉีดวิตามินจะเป็นตัวเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใส และมีสุขภาพที่ดีขึ้น และในการฉีดวิตามินจะต้องมีการทำอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับวิตามินอย่างครบถ้วน และเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่าการรับประทานวิตามิน
มาเด้ คอลลาเจน 16 จุดทั่วใบหน้า
เพื่อให้การทำงานของตัวยามาเด้ คอลลาเจนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงจำเป็นจะต้องฉีดทั่วใบหน้า 16 จุดตามตำแหน่งสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไหลเวียนของน้ำเหลือง ตรงนี้จะไปกระตุ้นการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองใต้ผิวหนังได้ดีขึ้น จึงทำให้ขับสารพิษออกจากผิวได้ดีขึ้น และทำให้ตัวยากระจายตัวไปได้อย่างทั่วถึง

ปัญหาผิวที่ต้องรักษาด้วย มาเด้ คอลลาเจน
- ผู้ที่มีปัญหาผิว เป็นผดผื่น ที่เกิดจากการแพ้ เช่น แพ้เหงื่อ แพ้แมสก์ เป็นต้น
- ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตัน ใบหน้าไม่เรียบเนียน เกิดจากสิ่งสกปรกอุดตันอยู่ใต้ผิวหนัง
- ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวลอกเป็นขุย จากการที่ผิวขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่อายุมากแล้ว แต่ยังเป็นสิวอยู่ เพราะการทำงานที่ผิดปกติของฮอร์โมน การฉีดมาเด้ คอลลาเจน จะช่วยปรับสมดุลผิวให้เป็นปกติ
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิวหน้า ที่เกิดจากการพักผ่อนน้อย ผิวหน้าโทรม
- ผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบ สิวอุดตัน ที่เกิดจากการแพ้สารเคมี รวมไปจนถึงผิวหน้าที่มีผื่นแพ้จากสารสเตียรอยด์
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องการทาครีม แล้วตัวครีมบำรุงไม่ซึมลงสู่ชั้นผิว มาเด้ คอลลาเจนจะช่วยทำให้ผิวเปิดรับการบำรุงได้ดียิ่งขึ้น
ปัญหาผิวที่เหมาะกับการรักษาด้วยมาเด้ คอลลาเจน ควบคู่กับการทำเมโส
- ผู้ที่ใช้สกินแคร์แล้วยังไม่เห็นผลลัพธ์ หรือผู้ที่ต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็ว
- ผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง หรือมีเวลาน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ผู้ที่มีปัญหาสิวผดผื่น สิวอุดตัน ผิวหน้าไม่เรียบเนียน
สำหรับระยะเวลาที่เริ่มเห็นถึงผลลัพธ์ หลังจากการฉีดเมโสหน้าใสก็คือประมาณ 3 วัน และจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเต็มที่ภายในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ ผลลัพธ์จะคงอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลา 1-2 เดือน การฉีดเมโสหน้าใส จะต้องทพอย่างต่อเนื่องโดยฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้งจนครบ 1 เดือน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์ ส่วนการฉีดมาเด้ คอลลาเจน จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลังที่ฉีดมาเด้ ไปแล้ว 2 ครั้ง โดยจะฉีดสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 3-5 ครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์ ถ้าหากทำต่อเนื่องจนครบ 5-10 ครั้ง จะมีผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองด้วย